นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (ขิง)) เกี่ยวกับกรณีที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้า 36% จากไทย ว่า “ดัมพ์” น่ากลัวกว่า “ทรัมป์”
ตนเชื่อมาตลอดว่าการจัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ จะเป็นการแก้ปัญหา รับมือการขึ้นภาษีแบบ All Win และยั่งยืน
กรณีภาษี 36% ที่สหรัฐกำลังจะประกาศบังคับใช้กับไทยในวันที่ 1 ส.ค. ได้สร้างความกังวลใจให้กับประเทศไทยไม่น้อย
สหรัฐเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศไทย ที่ส่งออกสินค้าไปขายมากที่สุด มูลค่ากว่า 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
การเจรจาขอลดภาษีไม่มีความแน่นอน ตัวอย่างเช่น ประเทศเวียดนามที่เหมือนจะดีลได้ 20% แต่ยังโดน 40% สำหรับสินค้าผ่านทางตามการตีความของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ถูกส่งออกไปใน 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐมีส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษี Reciprocal Tax เนื่องจากสหรัฐประกาศใช้อัตราภาษีเฉพาะรายการ เป็นลักษณะ Sectorial Tariff อัตราเดียวกันหมดทั่วโลกไปแล้ว คือ
ในส่วนนี้มีมูลค่าราวๆ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากส่งออก 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หลายบริษัทที่ผลิตสินค้าในกลุ่มที่ว่านี้ ได้ผูกกระบวนการผลิตเข้ากับห่วงโซ่อุปทานในประเทศและรอบประเทศไทย เพื่อขายของทั่วโลก จนขยับย้ายฐานการผลิตออกไปยากมาก
ส่วนอีก 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เหลือ ที่กำลังจะโดนขึ้นภาษีนั้น
ก่อนอื่นฝ่ายเจรจาควรรับรู้ว่า
หากเป็นวัตถุดิบ ชิ้นส่วน หรือเครื่องจักร ที่จะนำไปประกอบหรือผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป จะทำให้สหรัฐเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน เสี่ยงย้ายฐานการผลิตออกไปนอกสหรัฐ มีโอกาสสูงที่สหรัฐจะต้องปรับลดภาษีหรือออกมาตรการชดเชยภาษีนำเข้าในที่สุด
ส่วนนี้มีมูลค่าอีกเกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่จะกระทบโดยตรงคือกลุ่มสินค้าสำเร็จที่ส่งออกจากไทยไปบริโภคที่สหรัฐ เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศ เครื่องประดับ อาหารแปรรูป ที่มีมูลค่าราวๆ 24,000 จาก 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐไม่ถึงครึ่งของมูลค่าทั้งหมด
แต่ในจำนวน 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนี้เอง
บาง Sector เช่น การผลิตล้อยางส่งออก ก็เป็นบริษัทที่เป็นสัญชาติไทยจริง หรือเป็นการร่วมทุนกับไทย ไม่ถึง 1 ใน 5 ของมูลค่าที่ส่งออกไป
บาง Sector ถึงจะส่งออก แต่มีการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนจำนวนมาก Local Content ตํ่า จนส่วนต่างมูลค่าส่งออกลบนำเข้า แทบไม่เหลือ
หากลบส่วนนี้ออกไปอีกอย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐกู้มูลค่ากลับคืนมาจากศูนย์เหรียญ เท่ากับชดเชยมูลค่าที่จะสูญเสียไปจากการส่งออกที่ได้รับผลกระทบ
แถมจะเป็นการช่วยแก้ปัญการเกินดุลการค้าที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าอีกด้วย
ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งมือทำ เพื่อเซฟอุตสาหกรรมไทย ประกอบด้วย
ทั้งหมดทำควบคู่กับการเจรจา และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ในสถานการณ์ที่โลกแปรปรวนเช่นนี้ เป็นโอกาสของประเทศ ที่จะเร่งปฏิรูประบบอุตสาหกรรมให้กลับมาแข็งแกร่ง เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวสำคัญทันกับโลกยุคใหม่ในอนาคต